จากเก้าอี้รีไซเคิล สมุนไพรไทย ไปจนถึงเสื้อพลาสติกรีไซเคิล เรื่องเล่า SMEs ไทยบนเวที DIPROM สะท้อน 3 บทเรียนเปลี่ยนธุรกิจสู่ความยั่งยืน ผ่านโมเดล BCG ที่ช่วยลดต้นทุน เพิ่มรายได้ และเปิดโอกาสใหม่ในตลาดโลก
การค้าโลกกำลังขยับเข้าสู่จุดเปลี่ยนที่สำคัญ ผู้บริโภคและคู่ค้าทั่วโลกไม่ได้เลือกสินค้าจากราคาเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่ยังมองหาสินค้าที่ผลิตอย่างรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม และได้มาตรฐานสากล นี่คือแรงกดดันและในขณะเดียวกันก็คือโอกาสของผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs ที่เป็นฟันเฟืองหลักของเศรษฐกิจ
กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (DIPROM) มองเห็นความท้าทายนี้ จึงจัดกิจกรรม การแสดงศักยภาพและความยั่งยืนของอุตสาหกรรมไทย ด้วยแนวคิดเศรษฐกิจ BCG ที่สยามดิสคัฟเวอรี่ เพื่อเปิดเวทีให้ SMEs ได้เรียนรู้ ได้แรงบันดาลใจ และได้เห็นตัวอย่างจริงของธุรกิจที่นำโมเดล BCG Bio-Circular-Green Economy มาปรับใช้จนเกิดผลลัพธ์ชัดเจน
ท่ามกลางผู้เข้าร่วมงานทั้งจากภาครัฐและเอกชน เรื่องเล่าของผู้ประกอบการ 3 ราย กลายเป็นบทเรียนสำคัญที่สะท้อนว่าความยั่งยืนเริ่มต้นได้จากธุรกิจเล็ก ๆ หากมีความตั้งใจจริงและมองเห็นโอกาส
พลิกเศษพลาสติกเป็นเก้าอี้ สร้างแบรนด์ยั่งยืน
จิทานันท์ สิทธิอำไพ ผู้อำนวยการบริหาร บริษัท แบ็กส์ แอนด์ โกล์ฟ จำกัด เล่าว่า จุดเริ่มต้นของบริษัทมาจากการเป็น โรงงาน OEM ผลิตพลาสติกในประเทศไทย แปรรูปเม็ดพลาสติกทั้งแบบทั่วไปและย่อยสลายได้ออกมาเป็นฟิล์ม ก่อนจะถูกตัดและซีลเป็นผลิตภัณฑ์หลากหลาย เช่น ถุงมือ ผ้ากันเปื้อน ปลอกแขน และอุปกรณ์ป้องกันสำหรับอุตสาหกรรมอาหารและการแพทย์
กระทั่งบริษัทขยายการผลิตไปสู่สินค้าที่หลากหลายมากขึ้น นำไปสู่การใช้เศษพลาสติก PE ที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้ มาอัพไซเคิลเป็น “เก้าอี้ทรงเต่า” ผลงานที่ไม่เพียงแก้โจทย์ปัญหาขยะพลาสติก แต่ยังสร้างเรื่องเล่าที่ทรงพลังให้กับแบรนด์
และทำให้ธุรกิจสามารถสื่อสารความยั่งยืนกับตลาดได้อย่างจริงจัง และเริ่มต้นสร้างตัวตนใหม่ที่ชัดเจนขึ้น โดยวางวิสัยทัศน์ด้านความยั่งยืน ผ่านการใช้ นวัตกรรม (Innovation) มาขับเคลื่อนธุรกิจให้อยู่รอดและเติบโตได้ในระยะยาว
การสร้างตัวตนของธุรกิจ เราต้องมองที่คุณค่าที่ต้องการให้ลูกค้า เพื่อสร้างสตอรี่สื่อสาร และสตอรี่โปรดักซ์ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้า ขณะเดียวกัน SMEs ก็สามารถหยิบเอาอัตลักษณ์ของไทยมาปรับใช้ให้สินค้าแตกต่างและมีกลิ่นอายความเป็นไทย
สำหรับบริษัท แบ็กส์ แอนด์ โกล์ฟ ความยั่งยืนไม่ใช่แค่การตลาด แต่คือการ “ทำจริง” เพราะธุรกิจจะยั่งยืนได้ก็ต่อเมื่อดูแลทุกมิติไปพร้อมกัน ตั้งแต่พาร์ทเนอร์ พนักงาน ชุมชน ตลอดจนการลงทุนด้านเครื่องจักรและการเลือกใช้วัสดุที่คำนึงถึงผลกระทบต่อการปล่อยคาร์บอน
จุดเปลี่ยนสำคัญคือการทำงานร่วมกับ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ซึ่งช่วยแนะนำการคำนวณ คาร์บอนฟุตพรินต์
สมุนไพร ธุรกิจที่เติบโตไปกับชุมชน
เฉลิมพล อารีย์เกื้อตระกูล กรรมการ บริษัท อารีเฮิร์บ จำกัด เล่าว่า อารีเฮิร์บ เริ่มต้นจากสิ่งใกล้ตัวที่สุด ภูมิปัญญาชาวบ้าน กลายเป็นแรงบันดาลใจให้เห็นคุณค่าของสมุนไพรที่ผู้คนอาจมองข้าม แต่แท้จริงแล้วเต็มไปด้วยคุณประโยชน์และศักยภาพที่จะต่อยอดเป็นธุรกิจ
การสร้างตัวตน ต้องเริ่มจากความชอบ รักอะไร เช่น ทำสมุนไพร ก็ไปเรียนเพิ่มเติม ต้องเข้าใจสิ่งที่ทำ รู้ลึก ต่างจากคู่แข่ง
ด้วยแนวคิดนี้ อารีเฮิร์บจึงทำงานร่วมกับชุมชนในแต่ละพื้นที่ เพื่อให้สมุนไพรไทยไม่เพียงแค่เป็นผลิตภัณฑ์ แต่เป็นช่องทางสร้างรายได้และมูลค่ากลับคืนสู่ชุมชน
ในการขยายธุรกิจ อารีเฮิร์บยังมองไปถึง การใช้กากจากสมุนไพร อย่างเช่น กากมะขามป้อม ไปต่อยอดการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ไม่เพียงลดการสูญเสีย แต่ยังสร้างความหลากหลายให้กับสินค้า และตอบโจทย์ตลาดที่กำลังมองหาทางเลือกที่ยั่งยืน
อ่านต่อได้ที่ : https://www.thansettakij.com/sustainable/net-zero/637896