3 บทเรียนพลิก SMEs ไทยรับการค้าโลก ด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG

05 กันยายน 2568
3 บทเรียนพลิก SMEs ไทยรับการค้าโลก ด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG

จากเก้าอี้รีไซเคิล สมุนไพรไทย ไปจนถึงเสื้อพลาสติกรีไซเคิล เรื่องเล่า SMEs ไทยบนเวที DIPROM สะท้อน 3 บทเรียนเปลี่ยนธุรกิจสู่ความยั่งยืน ผ่านโมเดล BCG ที่ช่วยลดต้นทุน เพิ่มรายได้ และเปิดโอกาสใหม่ในตลาดโลก

การค้าโลกกำลังขยับเข้าสู่จุดเปลี่ยนที่สำคัญ ผู้บริโภคและคู่ค้าทั่วโลกไม่ได้เลือกสินค้าจากราคาเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่ยังมองหาสินค้าที่ผลิตอย่างรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม และได้มาตรฐานสากล นี่คือแรงกดดันและในขณะเดียวกันก็คือโอกาสของผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs ที่เป็นฟันเฟืองหลักของเศรษฐกิจ

กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (DIPROM) มองเห็นความท้าทายนี้ จึงจัดกิจกรรม การแสดงศักยภาพและความยั่งยืนของอุตสาหกรรมไทย ด้วยแนวคิดเศรษฐกิจ BCG ที่สยามดิสคัฟเวอรี่ เพื่อเปิดเวทีให้ SMEs ได้เรียนรู้ ได้แรงบันดาลใจ และได้เห็นตัวอย่างจริงของธุรกิจที่นำโมเดล BCG  Bio-Circular-Green Economy มาปรับใช้จนเกิดผลลัพธ์ชัดเจน

ท่ามกลางผู้เข้าร่วมงานทั้งจากภาครัฐและเอกชน เรื่องเล่าของผู้ประกอบการ 3 ราย กลายเป็นบทเรียนสำคัญที่สะท้อนว่าความยั่งยืนเริ่มต้นได้จากธุรกิจเล็ก ๆ หากมีความตั้งใจจริงและมองเห็นโอกาส

พลิกเศษพลาสติกเป็นเก้าอี้ สร้างแบรนด์ยั่งยืน

จิทานันท์ สิทธิอำไพ ผู้อำนวยการบริหาร บริษัท แบ็กส์ แอนด์ โกล์ฟ จำกัด เล่าว่า จุดเริ่มต้นของบริษัทมาจากการเป็น โรงงาน OEM ผลิตพลาสติกในประเทศไทย แปรรูปเม็ดพลาสติกทั้งแบบทั่วไปและย่อยสลายได้ออกมาเป็นฟิล์ม ก่อนจะถูกตัดและซีลเป็นผลิตภัณฑ์หลากหลาย เช่น ถุงมือ ผ้ากันเปื้อน ปลอกแขน และอุปกรณ์ป้องกันสำหรับอุตสาหกรรมอาหารและการแพทย์

กระทั่งบริษัทขยายการผลิตไปสู่สินค้าที่หลากหลายมากขึ้น นำไปสู่การใช้เศษพลาสติก PE ที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้ มาอัพไซเคิลเป็น “เก้าอี้ทรงเต่า” ผลงานที่ไม่เพียงแก้โจทย์ปัญหาขยะพลาสติก แต่ยังสร้างเรื่องเล่าที่ทรงพลังให้กับแบรนด์

และทำให้ธุรกิจสามารถสื่อสารความยั่งยืนกับตลาดได้อย่างจริงจัง และเริ่มต้นสร้างตัวตนใหม่ที่ชัดเจนขึ้น โดยวางวิสัยทัศน์ด้านความยั่งยืน ผ่านการใช้ นวัตกรรม (Innovation) มาขับเคลื่อนธุรกิจให้อยู่รอดและเติบโตได้ในระยะยาว

การสร้างตัวตนของธุรกิจ เราต้องมองที่คุณค่าที่ต้องการให้ลูกค้า เพื่อสร้างสตอรี่สื่อสาร และสตอรี่โปรดักซ์ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้า ขณะเดียวกัน SMEs ก็สามารถหยิบเอาอัตลักษณ์ของไทยมาปรับใช้ให้สินค้าแตกต่างและมีกลิ่นอายความเป็นไทย

สำหรับบริษัท แบ็กส์ แอนด์ โกล์ฟ ความยั่งยืนไม่ใช่แค่การตลาด แต่คือการ “ทำจริง” เพราะธุรกิจจะยั่งยืนได้ก็ต่อเมื่อดูแลทุกมิติไปพร้อมกัน ตั้งแต่พาร์ทเนอร์ พนักงาน ชุมชน ตลอดจนการลงทุนด้านเครื่องจักรและการเลือกใช้วัสดุที่คำนึงถึงผลกระทบต่อการปล่อยคาร์บอน

จุดเปลี่ยนสำคัญคือการทำงานร่วมกับ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ซึ่งช่วยแนะนำการคำนวณ คาร์บอนฟุตพรินต์

สมุนไพร ธุรกิจที่เติบโตไปกับชุมชน

เฉลิมพล อารีย์เกื้อตระกูล กรรมการ บริษัท อารีเฮิร์บ จำกัด เล่าว่า อารีเฮิร์บ เริ่มต้นจากสิ่งใกล้ตัวที่สุด ภูมิปัญญาชาวบ้าน กลายเป็นแรงบันดาลใจให้เห็นคุณค่าของสมุนไพรที่ผู้คนอาจมองข้าม แต่แท้จริงแล้วเต็มไปด้วยคุณประโยชน์และศักยภาพที่จะต่อยอดเป็นธุรกิจ

การสร้างตัวตน ต้องเริ่มจากความชอบ รักอะไร เช่น ทำสมุนไพร ก็ไปเรียนเพิ่มเติม ต้องเข้าใจสิ่งที่ทำ รู้ลึก ต่างจากคู่แข่ง

ด้วยแนวคิดนี้ อารีเฮิร์บจึงทำงานร่วมกับชุมชนในแต่ละพื้นที่ เพื่อให้สมุนไพรไทยไม่เพียงแค่เป็นผลิตภัณฑ์ แต่เป็นช่องทางสร้างรายได้และมูลค่ากลับคืนสู่ชุมชน

ในการขยายธุรกิจ อารีเฮิร์บยังมองไปถึง การใช้กากจากสมุนไพร อย่างเช่น กากมะขามป้อม ไปต่อยอดการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ไม่เพียงลดการสูญเสีย แต่ยังสร้างความหลากหลายให้กับสินค้า และตอบโจทย์ตลาดที่กำลังมองหาทางเลือกที่ยั่งยืน

อ่านต่อได้ที่ : https://www.thansettakij.com/sustainable/net-zero/637896

 


แหล่งที่มา : ฐานเศรษฐกิจ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

The information in the above report, publication and website has been obtained from sources believed to be reliable. However, Iron & Steel Institute of Thailand does not guarantee the accuracy, adequacy or completeness of the information. Any opinions or forecasts regarding future events may differ from actual events or results. In addition, Iron & Steel Institute of Thailand reserves the right to make changes and corrections to the information, including any opinions or forecasts, at any time without notice.